Omise ผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัล ประกาศรีแบรนด์กลับมาใช้ชื่อเดิม (Omise) อีกครั้ง หลังจากที่ใช้ชื่อ Opn มากว่าสองปี โดยเปลี่ยนอัตลักษณ์ใหม่เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินให้มีความไร้รอยต่อ (seamless) และไร้พรมแดน (borderless)
เป้าหมายของการรีแบรนด์ในครั้งนี้ คือการกลับมาที่ root เดิมของ Omise ซี่งก็คือการเชื่อมต่อกับวัฒนธรรมเทคโนโลยี (technology culture) อีกครั้ง ทั้งเพิ่มขนาด ความเสถียร และความจุ เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินให้ globalize มากขึ้น
นอกจากนี้ Omise กำลังพัฒนาระบบชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งจะรองรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปถึงสถาบันการเงิน เพื่อช่วยพัฒนาระบบให้ราบรื่นขึ้น ปรับปรุงธุรกรรมให้มีประสิทธิภาพ และวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายขึ้น
แม้ Omise เป็นเพียง adopter ในด้าน AI แต่หลังจากการรีแบรนด์ บริษัทเชื่อว่าจะเป็น innovator ในยุคที่ระบบการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ต้องใช้ Machine Learning และ AI โดยจะเปิดให้ทดลองเร็ว ๆ นี้ ซึ่งไทยและสหรัฐฯ จะได้ทดลองในเฟสแรก
ปัจจุบัน Omise ให้บริการใน 5 ประเทศ (ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, และสหรัฐอเมริกา) ร้านค้ากว่า 23,000 แห่ง วิธีชำระเงินกว่า 100 วิธี และปริมาณการชำระเงินราว ๆ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งอุตสาหกรรมที่ใช้งาน Omise มากที่สุด คืออีคอมเมิร์ซ ตามมาด้วยประกันภัย และโทรคมนาคม
ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และยังเอื้อการชำระเงินที่ไร้พรมแดนด้วย ส่วนสหรัฐฯ มีปริมาณการชำระเงินสูงที่สุด เนื่องจาก GDP ของสหรัฐฯ ใหญ่กว่าไทยถึง 51 เท่า รวมทั้งเป็นตลาดที่แข่งขันดุที่สุด Omise จึงเน้นไปที่กลุ่ม niche ในสหรัฐฯ แทน
ส่วน Payment Gateway ในไทยยังโตขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ 40% ซึ่ง Omise โตกว่าตลาดทุกปี โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่แม้การทำธุรกรรมจะน้อยลง แต่โครงสร้างพื้นฐานกลับพัฒนาสูง
ที่มา: งานแถลงข่าวประกาศรีแบรนด์ Omise
Topics:
Omise
Startup
FinTech
Artificial Intelligence
Continue reading...
เป้าหมายของการรีแบรนด์ในครั้งนี้ คือการกลับมาที่ root เดิมของ Omise ซี่งก็คือการเชื่อมต่อกับวัฒนธรรมเทคโนโลยี (technology culture) อีกครั้ง ทั้งเพิ่มขนาด ความเสถียร และความจุ เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินให้ globalize มากขึ้น
นอกจากนี้ Omise กำลังพัฒนาระบบชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งจะรองรับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปถึงสถาบันการเงิน เพื่อช่วยพัฒนาระบบให้ราบรื่นขึ้น ปรับปรุงธุรกรรมให้มีประสิทธิภาพ และวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายขึ้น
แม้ Omise เป็นเพียง adopter ในด้าน AI แต่หลังจากการรีแบรนด์ บริษัทเชื่อว่าจะเป็น innovator ในยุคที่ระบบการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ต้องใช้ Machine Learning และ AI โดยจะเปิดให้ทดลองเร็ว ๆ นี้ ซึ่งไทยและสหรัฐฯ จะได้ทดลองในเฟสแรก
ปัจจุบัน Omise ให้บริการใน 5 ประเทศ (ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, และสหรัฐอเมริกา) ร้านค้ากว่า 23,000 แห่ง วิธีชำระเงินกว่า 100 วิธี และปริมาณการชำระเงินราว ๆ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งอุตสาหกรรมที่ใช้งาน Omise มากที่สุด คืออีคอมเมิร์ซ ตามมาด้วยประกันภัย และโทรคมนาคม
ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และยังเอื้อการชำระเงินที่ไร้พรมแดนด้วย ส่วนสหรัฐฯ มีปริมาณการชำระเงินสูงที่สุด เนื่องจาก GDP ของสหรัฐฯ ใหญ่กว่าไทยถึง 51 เท่า รวมทั้งเป็นตลาดที่แข่งขันดุที่สุด Omise จึงเน้นไปที่กลุ่ม niche ในสหรัฐฯ แทน
ส่วน Payment Gateway ในไทยยังโตขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ 40% ซึ่ง Omise โตกว่าตลาดทุกปี โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่แม้การทำธุรกรรมจะน้อยลง แต่โครงสร้างพื้นฐานกลับพัฒนาสูง
ที่มา: งานแถลงข่าวประกาศรีแบรนด์ Omise
Topics:
Omise
Startup
FinTech
Artificial Intelligence
Continue reading...