สหรัฐเสี่ยงแพ้สงคราม AI ให้จีน ไม่ใช่เพราะชิป แต่เป็นเพราะโครงข่ายไฟฟ้า
Body
Rui Ma ผู้ก่อตั้ง Tech Buzz China ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Fortune ให้ข้อสังเกตหลังเดินทางกลับจากการดูงานด้าน AI ในจีนว่า สำหรับคนที่นั่น "ปัญหาพลังงานไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ถูกแก้ไขไปแล้ว" และมองว่าการมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอเป็นเรื่องปกติ ซึ่งตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง ที่การเติบโตของ AI ถูกผูกติดอยู่กับข้อจำกัดของโครงข่ายไฟฟ้ามาโดยตลอด
ความต้องการพลังงานจากดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล กำลังสร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าของสหรัฐฯ ที่ทั้งเปราะบางและพัฒนาไม่ทันท่วงที จน Goldman Sachs เตือนว่าอาจกลายเป็น "คอขวดที่สำคัญอย่างยิ่ง" ต่ออุตสาหกรรม AI โดยสถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนผ่านปัญหาหลายด้าน:
ในทางกลับกัน David Fishman ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้าของจีน ให้ข้อมูลกับ Fortune ว่าสำหรับจีนแล้ว "เรื่องไฟฟ้าไม่ใช่คำถามด้วยซ้ำ" เนื่องจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานล่วงหน้ามานานหลายทศวรรษ ทำให้จีนมีความได้เปรียบอย่างชัดเจน
โดยเฉลี่ย จีนเพิ่มความต้องการไฟฟ้าใหม่ทุกปีมากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งปีของเยอรมนี และในบางมณฑล มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาครัวเรือนทั่วทั้งพื้นที่ชนบท จนหนึ่งมณฑลมีกำลังผลิตไฟฟ้าเทียบเท่ากับทั้งประเทศอินเดียเลยทีเดียว
Fishman ชี้ว่าความแตกต่างนี้เกิดจากโมเดลการบริหารจัดการที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่จีนมีการวางแผนจากส่วนกลางในระยะยาว ทำให้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นเพื่อ "รอรับ" ความต้องการในอนาคต แต่ในสหรัฐฯ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต้องพึ่งพาภาคเอกชนที่มักคาดหวังผลตอบแทนในระยะสั้น (3-5 ปี) ซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงการด้านพลังงานที่ใช้เวลานานนับทศวรรษ
อีกปัจจัยที่มักถูกมองข้ามคือ มุมมองทางวัฒนธรรม ในจีน พลังงานหมุนเวียนไม่ได้ถูกนำเสนอในฐานะ “สิ่งดีทางศีลธรรม” แต่เป็น “ทางเลือกที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์” ถ่านหินไม่ถูกมองว่าเป็น “ตัวร้าย” แต่เป็น “เทคโนโลยีที่ล้าสมัย” ทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ติดกับดักการเมือง หรือถูกนำเสนอในแง่องค์การที่ดี มี ESG เป็นแคมเปญการตลาด
Fishman เตือนว่าหากสหรัฐฯ ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการลงทุนและสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างจริงจัง ช่องว่างขีดความสามารถกับจีนก็จะยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ในยุคที่ AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอำนาจระดับชาติ การมี “กริดไฟฟ้าที่แข็งแรง” อาจไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือ ข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ที่อาจกำหนดผู้นำของโลกในศตวรรษที่ 21
และตอนนี้ ดูเหมือนว่า จีนจะกำลังนำอยู่หลายก้าว — ไม่ใช่เพราะมีชิปที่เร็วกว่า แต่เพราะมีไฟฟ้าที่ “เหลือล้น”
ที่มา: Fortune
Fzo Sat, 23/08/2025 - 07:49
Continue reading...
Body
Rui Ma ผู้ก่อตั้ง Tech Buzz China ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Fortune ให้ข้อสังเกตหลังเดินทางกลับจากการดูงานด้าน AI ในจีนว่า สำหรับคนที่นั่น "ปัญหาพลังงานไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ถูกแก้ไขไปแล้ว" และมองว่าการมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอเป็นเรื่องปกติ ซึ่งตรงกันข้ามกับสถานการณ์ในสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง ที่การเติบโตของ AI ถูกผูกติดอยู่กับข้อจำกัดของโครงข่ายไฟฟ้ามาโดยตลอด
สหรัฐฯ: ติดหล่ม กริดไฟฟ้าเปราะบาง คอขวดด้านพลังงานสกัดการเติบโต AI
ความต้องการพลังงานจากดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล กำลังสร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าของสหรัฐฯ ที่ทั้งเปราะบางและพัฒนาไม่ทันท่วงที จน Goldman Sachs เตือนว่าอาจกลายเป็น "คอขวดที่สำคัญอย่างยิ่ง" ต่ออุตสาหกรรม AI โดยสถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนผ่านปัญหาหลายด้าน:
- โครงข่ายตึงตัว: ผลสำรวจของ Deloitte ระบุว่า ปัจจัยอันดับหนึ่งที่จำกัดการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในสหรัฐฯ คือแรงกดดันที่มีต่อโครงข่ายไฟฟ้า
- บริษัทเทคโนโลยีต้องพึ่งพาตนเอง: บริษัทใหญ่อย่าง Microsoft, Google และ Amazon ถึงขั้นต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าของตัวเอง เพื่อแก้ปัญหาความไม่แน่นอนของกริดสาธารณะ
- กระทบค่าครองชีพ: ประชาชนเริ่มได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ในรัฐโอไฮโอที่ค่าไฟของครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอย่างน้อย 15 ดอลลาร์ต่อเดือนในช่วงฤดูร้อน อันเนื่องมาจากการมาของดาต้าเซ็นเตอร์
- กำลังผลิตสำรองต่ำ: โครงข่ายไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีกำลังผลิตสำรอง (reserve margin) เพียงประมาณ 15% หรือน้อยกว่า ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดแคลนในช่วงที่ความต้องการพุ่งสูง
จีน: ไฟฟ้าล้นเหลือจนมองดาต้าเซ็นเตอร์เป็น 'ตัวช่วยรองรับ'
ในทางกลับกัน David Fishman ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้าของจีน ให้ข้อมูลกับ Fortune ว่าสำหรับจีนแล้ว "เรื่องไฟฟ้าไม่ใช่คำถามด้วยซ้ำ" เนื่องจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานล่วงหน้ามานานหลายทศวรรษ ทำให้จีนมีความได้เปรียบอย่างชัดเจน
โดยเฉลี่ย จีนเพิ่มความต้องการไฟฟ้าใหม่ทุกปีมากกว่าการใช้ไฟฟ้าทั้งปีของเยอรมนี และในบางมณฑล มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาครัวเรือนทั่วทั้งพื้นที่ชนบท จนหนึ่งมณฑลมีกำลังผลิตไฟฟ้าเทียบเท่ากับทั้งประเทศอินเดียเลยทีเดียว
- กำลังผลิตสำรองมหาศาล: จีนมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองทั่วประเทศสูงถึง 80-100% หมายความว่ามีกำลังผลิตมากกว่าความต้องการใช้จริงเกือบสองเท่า
- ดาต้าเซ็นเตอร์คือผู้ช่วย: ด้วยปริมาณไฟฟ้าที่ล้นเหลือ ทำให้จีนมองว่าดาต้าเซ็นเตอร์เป็น "วิธีที่สะดวกในการดูดซับอุปทานส่วนเกิน" (soak up oversupply) ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของระบบ
- ความยืดหยุ่นสูง: แม้ความต้องการพลังงานจาก AI จะเติบโตเร็วจนพลังงานหมุนเวียนสร้างไม่ทัน จีนก็ยังสามารถนำโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ปลดระวางชั่วคราวกลับมาใช้งานเพื่อเสริมระบบได้อย่างรวดเร็ว
ความได้เปรียบเชิงโครงสร้าง: การวางแผนระยะยาว vs. การลงทุนระยะสั้น
Fishman ชี้ว่าความแตกต่างนี้เกิดจากโมเดลการบริหารจัดการที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่จีนมีการวางแผนจากส่วนกลางในระยะยาว ทำให้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นเพื่อ "รอรับ" ความต้องการในอนาคต แต่ในสหรัฐฯ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต้องพึ่งพาภาคเอกชนที่มักคาดหวังผลตอบแทนในระยะสั้น (3-5 ปี) ซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงการด้านพลังงานที่ใช้เวลานานนับทศวรรษ
วัฒนธรรมการมองพลังงานที่ต่างกัน
อีกปัจจัยที่มักถูกมองข้ามคือ มุมมองทางวัฒนธรรม ในจีน พลังงานหมุนเวียนไม่ได้ถูกนำเสนอในฐานะ “สิ่งดีทางศีลธรรม” แต่เป็น “ทางเลือกที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์” ถ่านหินไม่ถูกมองว่าเป็น “ตัวร้าย” แต่เป็น “เทคโนโลยีที่ล้าสมัย” ทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ติดกับดักการเมือง หรือถูกนำเสนอในแง่องค์การที่ดี มี ESG เป็นแคมเปญการตลาด
Fishman เตือนว่าหากสหรัฐฯ ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการลงทุนและสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานอย่างจริงจัง ช่องว่างขีดความสามารถกับจีนก็จะยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ในยุคที่ AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอำนาจระดับชาติ การมี “กริดไฟฟ้าที่แข็งแรง” อาจไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือ ข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ที่อาจกำหนดผู้นำของโลกในศตวรรษที่ 21
และตอนนี้ ดูเหมือนว่า จีนจะกำลังนำอยู่หลายก้าว — ไม่ใช่เพราะมีชิปที่เร็วกว่า แต่เพราะมีไฟฟ้าที่ “เหลือล้น”
ที่มา: Fortune
Fzo Sat, 23/08/2025 - 07:49
Continue reading...