ระบบสตอเรจเป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบไอทีระดับองค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการที่องค์กรต่างๆ มีข้อมูลภายในปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นระบบสำคัญที่จะช่วยให้ระบบไอทีทั้งหมดทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ มีความน่าเชื่อถือ PowerStore ของ Dell Technologies ชูฟีเจอร์ประสิทธิภาพสูงทั้งในแง่ของการจัดการจัดการพื้นที่บนตัวสตอเรจเอง, ประสิทธิภาพการทำงาน, และด้านพลังงานที่ตอบสนองต่อองค์กรที่มีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถตอบโจทย์รอบด้านขององค์กรไปได้พร้อมกัน
ที่ผ่านมาการเลือกซื้อระบบสตอเรจมักอาศัยราคาต่อพื้นที่เป็นปัจจัยหลัก แต่ Dell Technologies เลือกที่จะเน้นถึงฟีเจอร์ที่เพิ่มความฉลาดให้กับซอฟต์แวร์ของระบบสตอเรจ (Software-Driven) เพื่อช่วยวิศวกรผู้ดูแลระบบให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีความปลอดภัยสูง โดย PowerStoreOS มีการอัพเดตต่อเนื่องและมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ตามระยะเวลา
เริ่มจากการตรวจยืนยันตัวตนผู้ดูแลระบบที่ PowerStore รองรับสถาปัตยกรรมความปลอดภัยแบบ Zero Trust การยืนยันผู้ใช้ด้วยรหัสผ่านทำตามแนวทาง Security Technical Implementation Guides (STIGs) ของรัฐบาลสหรัฐฯ การล็อกอินสามารถบังคับล็อกอินสองขั้นตอนเพื่อลดความผิดพลาด
การป้องกันข้อมูลรองรับการล็อก snapshot เพื่อป้องกันการลบโดยไม่ตั้งใจหรือในกรณีที่ระบบถูกโจมตี โดยสามารถตั้งเวลาล่วงหน้าว่าจะเก็บ snapshot ไว้เป็นเวลานานเพียงใดเพื่อให้แน่ใจว่ามีข้อมูลสำรองสำหรับกู้คืนระบบเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นมาจริงๆ
ระบบ CloudIQ ของ PowerStore สามารถเข้ามาช่วยแจ้งเตือนเหตุความปลอดภัยไซเบอร์ได้ด้วย เช่น เมื่อข้อมูลมีความผิดปกติไปมีอัตราการบีบอัดเปลี่ยนไปอย่างผิดสังเกตซึ่งเป็นสัญญาณของการถูกโจมตีด้วย Ransomware ซอฟต์แวร์ของ PowerStore ก็สามารถแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบให้ตอบสนองเหตุการณ์ได้ทันท่วงที
การพัฒนาของ PowerStore เน้นประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างมาก โดย Dell Technologies ระบุค่า IOPS per watt ว่าสูงขึ้นถึง 60% เทียบกับ PowerStore รุ่นก่อนหน้านี้ และนับว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีที่มากระบบหนึ่ง
ในแง่ของประสิทธิภาพในการใช้งาน ระบบทำงานแบบ NVMe ทั้งระบบ รองรับโปรโตคอลอย่าง NVMe/FC หรือ NVMe/TCP ทำให้สามารถใช้ระบบเน็ตเวิร์คที่องค์กรอาจจะลงทุนเน็ตเวิร์คประสิทธิภาพสูงไปแล้วสามารถใช้งานเน็ตเวิร์คของตัวเองได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องลงทุน FiberChannel ซ้ำ
การใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มต่างๆ สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น ทำงานร่วมกับ VMware vSphere ผ่านทาง Dell Virtual Storage Integrator (VSI), ใช้งานร่วมกับ OpenStack โดยจัดการ volume จากใน OpenStack ได้โดยตรง, มี Container Storage Interface (CSI) สำหรับการใช้งานร่วมกับ Kubernetes ได้ทันที ตลอดจนมีโมดูลสำหรับ Ansible และ Terraform สำหรับการจัดการแบบ Infrastructure as Code เต็มตัว
สำหรับพื้นที่จัดเก็บข้อมูล PowerStore มีหน่วยประมวลผลเฉพาะสำหรับการบีบอัดข้อมูล ถึงระดับ 4:1 พร้อมกับรับประกันว่าจะได้ตามที่สัญญาไว้จริง โดยต้องการเพียงข้อมูลประเภทข้อมูลที่ใช้งานเท่านั้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบข้อมูลที่ใช้งานในสตอเรจล่วงหน้าให้ยุ่งยาก และแม้จะรับประกันเช่นนี้ ทาง Dell Technologies ก็ยังระบุว่ามีลูกค้าที่ข้อมูลซับซ้อนจนไม่สามารถบีบอัดได้ถึงสัดส่วนที่สัญญาจริงๆ เพียงไม่ถึง 1% เท่านั้น แนวทางเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถมั่นใจได้ในการใช้งาน Dell PowerStore ในระยะยาว และสอดคล้องกับทิศทางของเป้าหมายขององค์กรในด้าน Sustainability ที่จะช่วยลดการใช้พลังงานของศูนย์คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงจะสามารถรองรับการจัดเก็บข้อมูลในปริมาณที่ธุรกิจต้องการได้แม้จะมีการเติบโตของข้อมูลในอนาคต และระบบจะพร้อมต่อการเพิ่มขยายหรืออัปเกรดเพื่อรองรับโจทย์ใหม่ๆ และ Workload ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นต่อไป
สำหรับการสำรองข้อมูลนั้น PowerProtectDD รองรับการสำรองเฉพาะส่วนที่ถูกแก้ไข ทำให้ขนาดข้อมูลที่ต้องส่งไปยังระบบสำรองข้อมูลนั้นน้อยกว่าขนาดสตอเรจจริง ด้วยอัตราระดับสูงสุด 65:1
การสำรองข้อมูลยังรองรับทั้งการสำรองแบบ on-premise และบนคลาวด์ ด้วยการทำงานร่วมกับ Dell PowerProtect DD ที่สามารถติดตั้งทำงานบนระบบ Public Cloud ได้ และเมื่อต้องการใช้งานข้อมูลที่สำรองไว้ ฟีเจอร์การดึงข้อมูลกลับคืนก็รองรับการใช้งานทุกรูปแบบ ทั้งการตรวจสอบข้อมูลภายใน snapshot ที่เก็บข้อมูลไว้, การนำ snapshot มา mount ชั่วคราว เพื่อแก้ปัญหาระบบ หรือดึงข้อมูลบางส่วนออกมา โดยสามารถใช้งานบน PowerStore เดิมหรือชุดอื่นที่ต้องการก็ได้
ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ใน PowerStore ยังช่วยผู้ดูแลระบบให้ทำงานได้ครบถ้วนและง่ายดายขึ้น เช่น
สำหรับองค์กรที่ใช้งาน PowerStore อยู่แล้ว ฟีเจอร์ Data-In-Place ทำให้กระบวนการอัพเกรดนั้นสามารถทำได้ง่ายกว่าเพราะสามารถอัพเกรดทีละโหนดในระบบโดยไม่ต้องถ่ายข้อมูลข้ามคลัสเตอร์ทั้งหมด ผู้ใช้สามารถเลือกอัพเกรดจากตระกูล x000T ไปยัง x200T ได้โดยไม่ต้องทำ Data Migration และในการอัพเกรดยังสามารถเลือกได้ระหว่างการอัพเกรดในระดับเดิม เช่น PowerStore 1000T ไปยัง PowerStore 1200T เพื่อรีเฟรชระบบให้ทันสมัย หรือจะอัพเกรดไปยังรุ่นสูงกว่า อย่าง PowerStore 3200T ก็ได้เช่นกัน
ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์หลักๆ ของ PowerStore นั้นรวมมาให้ในตัวโดยไม่ต้องเสียค่าไลเซนส์เพิ่ม เช่น การใช้งานแบบ File Sharing (NAS), ระบบบีบอัดข้อมูล, Dynamic Resiliency Engine (DRE) สำหรับปรับเพิ่มความทนทานในกรณีที่ไดรฟ์เสียหาย, ระบบเข้ารหัสข้อมูล (Data-at-rest encryption - D@RE)
สำหรับองค์กรที่ต้องการอัพเดตระบบสตอเรจให้ทันสมัยตลอดเวลา ทาง Dell Technologies ยังมีโครงการให้เลือกใช้ ได้แก่
Dell PowerStore มีให้เลือก 4 รุ่นตามความต้องการใช้งาน ได้แก่
รายละเอียดและข้อแตกต่างของแต่ละรุ่น สามารถอ่านได้ใน Spec Sheet ของทาง Dell Technologies
โดยรวมแล้ว Dell PowerStore ไม่ใช่แค่สตอเรจธรรมดา แต่มาพร้อมกับระบบซอฟต์แวร์ที่ยืดหยุ่นรองรับการทำงานที่หลากหลาย ฟีเจอร์ที่ช่วยให้การดูแลระบบทำได้ง่ายและมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น รองรับการอัพเกรดจากทั้งระบบเดิมที่มีอยู่ในองค์กร และการรับประกันถึงการอัพเกรดต่อไปในอนาคตว่าจะได้รับการดูแลต่อเนื่อง
หากสนใจ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชัน Dell PowerStore สามารถติดต่อได้ทันทีที่บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-020-3001 หรือ อีเมล [email protected]
Topics:
Dell Technologies
อ่านต่อ...
ที่ผ่านมาการเลือกซื้อระบบสตอเรจมักอาศัยราคาต่อพื้นที่เป็นปัจจัยหลัก แต่ Dell Technologies เลือกที่จะเน้นถึงฟีเจอร์ที่เพิ่มความฉลาดให้กับซอฟต์แวร์ของระบบสตอเรจ (Software-Driven) เพื่อช่วยวิศวกรผู้ดูแลระบบให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีความปลอดภัยสูง โดย PowerStoreOS มีการอัพเดตต่อเนื่องและมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ตามระยะเวลา
เริ่มจากการตรวจยืนยันตัวตนผู้ดูแลระบบที่ PowerStore รองรับสถาปัตยกรรมความปลอดภัยแบบ Zero Trust การยืนยันผู้ใช้ด้วยรหัสผ่านทำตามแนวทาง Security Technical Implementation Guides (STIGs) ของรัฐบาลสหรัฐฯ การล็อกอินสามารถบังคับล็อกอินสองขั้นตอนเพื่อลดความผิดพลาด
การป้องกันข้อมูลรองรับการล็อก snapshot เพื่อป้องกันการลบโดยไม่ตั้งใจหรือในกรณีที่ระบบถูกโจมตี โดยสามารถตั้งเวลาล่วงหน้าว่าจะเก็บ snapshot ไว้เป็นเวลานานเพียงใดเพื่อให้แน่ใจว่ามีข้อมูลสำรองสำหรับกู้คืนระบบเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นมาจริงๆ
ระบบ CloudIQ ของ PowerStore สามารถเข้ามาช่วยแจ้งเตือนเหตุความปลอดภัยไซเบอร์ได้ด้วย เช่น เมื่อข้อมูลมีความผิดปกติไปมีอัตราการบีบอัดเปลี่ยนไปอย่างผิดสังเกตซึ่งเป็นสัญญาณของการถูกโจมตีด้วย Ransomware ซอฟต์แวร์ของ PowerStore ก็สามารถแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบให้ตอบสนองเหตุการณ์ได้ทันท่วงที
การพัฒนาของ PowerStore เน้นประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างมาก โดย Dell Technologies ระบุค่า IOPS per watt ว่าสูงขึ้นถึง 60% เทียบกับ PowerStore รุ่นก่อนหน้านี้ และนับว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานดีที่มากระบบหนึ่ง
ในแง่ของประสิทธิภาพในการใช้งาน ระบบทำงานแบบ NVMe ทั้งระบบ รองรับโปรโตคอลอย่าง NVMe/FC หรือ NVMe/TCP ทำให้สามารถใช้ระบบเน็ตเวิร์คที่องค์กรอาจจะลงทุนเน็ตเวิร์คประสิทธิภาพสูงไปแล้วสามารถใช้งานเน็ตเวิร์คของตัวเองได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องลงทุน FiberChannel ซ้ำ
การใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มต่างๆ สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น ทำงานร่วมกับ VMware vSphere ผ่านทาง Dell Virtual Storage Integrator (VSI), ใช้งานร่วมกับ OpenStack โดยจัดการ volume จากใน OpenStack ได้โดยตรง, มี Container Storage Interface (CSI) สำหรับการใช้งานร่วมกับ Kubernetes ได้ทันที ตลอดจนมีโมดูลสำหรับ Ansible และ Terraform สำหรับการจัดการแบบ Infrastructure as Code เต็มตัว
สำหรับพื้นที่จัดเก็บข้อมูล PowerStore มีหน่วยประมวลผลเฉพาะสำหรับการบีบอัดข้อมูล ถึงระดับ 4:1 พร้อมกับรับประกันว่าจะได้ตามที่สัญญาไว้จริง โดยต้องการเพียงข้อมูลประเภทข้อมูลที่ใช้งานเท่านั้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบข้อมูลที่ใช้งานในสตอเรจล่วงหน้าให้ยุ่งยาก และแม้จะรับประกันเช่นนี้ ทาง Dell Technologies ก็ยังระบุว่ามีลูกค้าที่ข้อมูลซับซ้อนจนไม่สามารถบีบอัดได้ถึงสัดส่วนที่สัญญาจริงๆ เพียงไม่ถึง 1% เท่านั้น แนวทางเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถมั่นใจได้ในการใช้งาน Dell PowerStore ในระยะยาว และสอดคล้องกับทิศทางของเป้าหมายขององค์กรในด้าน Sustainability ที่จะช่วยลดการใช้พลังงานของศูนย์คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงจะสามารถรองรับการจัดเก็บข้อมูลในปริมาณที่ธุรกิจต้องการได้แม้จะมีการเติบโตของข้อมูลในอนาคต และระบบจะพร้อมต่อการเพิ่มขยายหรืออัปเกรดเพื่อรองรับโจทย์ใหม่ๆ และ Workload ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นต่อไป
สำหรับการสำรองข้อมูลนั้น PowerProtectDD รองรับการสำรองเฉพาะส่วนที่ถูกแก้ไข ทำให้ขนาดข้อมูลที่ต้องส่งไปยังระบบสำรองข้อมูลนั้นน้อยกว่าขนาดสตอเรจจริง ด้วยอัตราระดับสูงสุด 65:1
การสำรองข้อมูลยังรองรับทั้งการสำรองแบบ on-premise และบนคลาวด์ ด้วยการทำงานร่วมกับ Dell PowerProtect DD ที่สามารถติดตั้งทำงานบนระบบ Public Cloud ได้ และเมื่อต้องการใช้งานข้อมูลที่สำรองไว้ ฟีเจอร์การดึงข้อมูลกลับคืนก็รองรับการใช้งานทุกรูปแบบ ทั้งการตรวจสอบข้อมูลภายใน snapshot ที่เก็บข้อมูลไว้, การนำ snapshot มา mount ชั่วคราว เพื่อแก้ปัญหาระบบ หรือดึงข้อมูลบางส่วนออกมา โดยสามารถใช้งานบน PowerStore เดิมหรือชุดอื่นที่ต้องการก็ได้
ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ใน PowerStore ยังช่วยผู้ดูแลระบบให้ทำงานได้ครบถ้วนและง่ายดายขึ้น เช่น
- ระบบทดสอบ Disaster Recovery: PowerStore รองรับการสร้าง NAS สำหร้บการทดสอบ DR โดยเหมือนระบบจริงทุกประการ รวมถึงหมายเลขไอพีที่ตรงกัน แต่แยกเน็ตเวิร์คคนละส่วนกับระบบโปรดักชั่น ทำให้สามารถทดสอบ DR ได้ครบถ้วนตามข้อกำหนด โดยมีปัญหาน้อยกว่า
- การส่งออก Log ผ่านทาง Syslog: นอกจากส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบ เช่น การแก้ไขคอนฟิก, หรือการล็อกอินเข้าใช้งานแล้ว ใน PowerStoreOS เวอร์ชั่นใหม่ยังสามารถส่ง log การแจ้งเตือนความผิดปกติ ทำให้ผู้ดูแลความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรได้รับข้อมูลจาก PowerStore เป็นส่วนเสริม ทำให้มองเห็นความผิดปกติในทุกส่วนของระบบไอที
สำหรับองค์กรที่ใช้งาน PowerStore อยู่แล้ว ฟีเจอร์ Data-In-Place ทำให้กระบวนการอัพเกรดนั้นสามารถทำได้ง่ายกว่าเพราะสามารถอัพเกรดทีละโหนดในระบบโดยไม่ต้องถ่ายข้อมูลข้ามคลัสเตอร์ทั้งหมด ผู้ใช้สามารถเลือกอัพเกรดจากตระกูล x000T ไปยัง x200T ได้โดยไม่ต้องทำ Data Migration และในการอัพเกรดยังสามารถเลือกได้ระหว่างการอัพเกรดในระดับเดิม เช่น PowerStore 1000T ไปยัง PowerStore 1200T เพื่อรีเฟรชระบบให้ทันสมัย หรือจะอัพเกรดไปยังรุ่นสูงกว่า อย่าง PowerStore 3200T ก็ได้เช่นกัน
ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์หลักๆ ของ PowerStore นั้นรวมมาให้ในตัวโดยไม่ต้องเสียค่าไลเซนส์เพิ่ม เช่น การใช้งานแบบ File Sharing (NAS), ระบบบีบอัดข้อมูล, Dynamic Resiliency Engine (DRE) สำหรับปรับเพิ่มความทนทานในกรณีที่ไดรฟ์เสียหาย, ระบบเข้ารหัสข้อมูล (Data-at-rest encryption - D@RE)
สำหรับองค์กรที่ต้องการอัพเดตระบบสตอเรจให้ทันสมัยตลอดเวลา ทาง Dell Technologies ยังมีโครงการให้เลือกใช้ ได้แก่
- Anytime Upgrade สำหรับเตรียมการขยายระบบ ทั้งอัพเกรดสตอเรจไปรุ่นสูงขึ้น, ขยายขนาดคลัสเตอร์, หรืออัพเกรดรุ่นต่อไป
- Future Proof Program โครงการให้ความมั่นใจว่าระบบจะรองรับโหลดงานได้เต็มประสิทธิภาพ ได้ฟีเจอร์ครบถ้วน และสามารถใช้ปรับเพิ่มลดการใช้งานตามจริงได้
Dell PowerStore มีให้เลือก 4 รุ่นตามความต้องการใช้งาน ได้แก่
- PowerStore 500T ซีพียู Xeon 24 คอร์ แรม 192GB รองรับการเชื่อมต่อ 25/10/1GbE และ 32/16/8FC
- PowerStore 1200T ซีพียู Xeon 40 คอร์ แรม 384GB รองรับ NVRAM 2 ไดรฟ์ รองรับการเชื่อมต่อ 100/25/10/1GbE และ 32/16/8FC
- PowerStore 3200T ซีพียู Xeon 64 คอร์ แรม 768GB รองรับ NVRAM 2 ไดรฟ์ รองรับการเชื่อมต่อ 100/25/10/1GbE และ 32/16/8FC
- PowerStore 5200T ซีพียู Xeon 96 คอร์ แรม 1152GB รองรับ NVRAM 4 ไดรฟ์ รองรับการเชื่อมต่อ 100/25/10/1GbE และ 32/16/8FC
- PowerStore 9200T ซีพียู Xeon 112 คอร์ แรม 2560GB รองรับ NVRAM 4 ไดรฟ์ รองรับการเชื่อมต่อ 100/25/10/1GbE และ 32/16/8FC
รายละเอียดและข้อแตกต่างของแต่ละรุ่น สามารถอ่านได้ใน Spec Sheet ของทาง Dell Technologies
โดยรวมแล้ว Dell PowerStore ไม่ใช่แค่สตอเรจธรรมดา แต่มาพร้อมกับระบบซอฟต์แวร์ที่ยืดหยุ่นรองรับการทำงานที่หลากหลาย ฟีเจอร์ที่ช่วยให้การดูแลระบบทำได้ง่ายและมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น รองรับการอัพเกรดจากทั้งระบบเดิมที่มีอยู่ในองค์กร และการรับประกันถึงการอัพเกรดต่อไปในอนาคตว่าจะได้รับการดูแลต่อเนื่อง
หากสนใจ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชัน Dell PowerStore สามารถติดต่อได้ทันทีที่บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-020-3001 หรือ อีเมล [email protected]
Topics:
Dell Technologies
อ่านต่อ...
