กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see


กรุงไทยบอกว่า ไทยได้รับความสนใจในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ น้อยกว่าบางประเทศในอาเซียน เพราะค่าไฟแพง-บุคลากรด้านไอทีไม่เพียงพอ

news กรุงไทยบอกว่า ไทยได้รับความสนใจในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ น้อยกว่าบางประเทศในอาเซียน เพราะค่าไฟแพง-บุคลากรด้านไอทีไม่เพียงพอ

News 

Active member

Staff member
Moderator
Distributor
รายงานจาก Krungthai COMPASS บอกว่า ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยมีโอกาสเติบโตสูง เพิ่มขึ้น 13.9 เท่า โดยรายได้รวมทั้งในรูปแบบของ Colocation และ Public Cloud คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 5.7 หมื่นล้านบาทในปี 2023 ไปถึง 1.5 แสนล้านบาทในปี 2028 หรือโตเฉลี่ยปีละ 21.3%

โดยคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินลงทุน 3.2 แสนล้านบาท และสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการไทย 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งมาจากการลงทุนของ:

  1. บริษัทเทคชั้นนำระดับโลก เช่น Microsoft, Google, และ TikTok
  2. ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับภูมิภาค เช่น NextDC, CtrlS, และ Beijing Haoyang Cloud Data Technology
  3. ผู้ประกอบการที่ลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยก่อนปี 2023 อย่าง NTT Global Data Center

ขณะที่รายได้รวมจากการให้บริการติดตั้งระบบ Cloud และการให้บริการสาธารณูปโภคแก่ดาต้าเซ็นเตอร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 2.1 หมื่นล้านบาทในปี 2023 ไปถึง 8.2 หมื่นล้านบาทในปี 2028 หรือโตเฉลี่ยปีละ 31.7%

ปัจจัยที่ทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์โตขึ้น มาจากความต้องการใช้ Public Cloud ที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการฝึกอบรมโมเดล AI และการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เกิดแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ไทยยังมีความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติน้อยกว่า ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ตรงกลางของอาเซียน และมีการให้บริการอินเทอร์เน็ตเร็วกว่าหลายประเทศในอาเซียน รองลงจากสิงคโปร์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอาเซียน พบว่าไทยอาจได้รับความสนใจในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์น้อยกว่าบางประเทศ เมื่อเทียบขนาดดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะเกิดขึ้นใหม่ของไทยอยู่ที่ 67 เมกะวัตต์ ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 988 เมกะวัตต์, มาเลเซีย (280 เมกะวัตต์), และอินโดนีเซีย (236 เมกะวัตต์)

โดยสาเหตุหลักมีดังนี้:

  1. โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย: จำนวนสถานีเคเบิลใต้น้ำของไทยอยู่ที่ 11 แห่ง ซึ่งน้อยกว่าอินโดนีเซีย (46 แห่ง), สิงคโปร์ (27 แห่ง), และมาเลเซีย (22 แห่ง) ส่งผลให้การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างประเทศมีข้อจำกัด
  2. พลังงานและค่าไฟ: ค่าไฟฟ้าโดยเฉลี่ยในไทยสูงกว่า อยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท ส่วนโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของไทยอยู่ที่หน่วยละ 2.51 บาท ซึ่งยังสูงกว่าอินโดนีเซียที่ราคาหน่วยละ 2.52 บาท รวมถึงยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนในราคาแข่งขันได้
  3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ (เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้ และภาษีนำเข้าอุปกรณ์) ของไทยอยู่ที่ 8 ปี ซึ่งสั้นกว่ามาเลเซีย (10 ปี) และอินโดนีเซีย (20 ปี) ที่มีมาตรการภาษีเพิ่มเติมสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ
  4. บุคลากรด้านไอที: ไทยขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะไอทีและความรู้ด้านดิจิทัล เห็นได้จากสัดส่วนบุคลากรที่มีความรู้ด้านดิจิทัล 28% เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่สูงถึง 74% และมาเลเซีย 71%
  5. กระบวนการอนุมัติการลงทุน: กระบวนการในไทยมีความซับซ้อน และใช้เวลานาน (ประมาณ 60 วันหรือนานกว่านั้น) เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนาม (30-45 วัน) และอินโดนีเซีย (28 วัน) ซึ่งใช้ระบบอนุมัติแบบรวดเร็ว

กรุงไทยเสนอว่า ไทยต้องเริ่มจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย เช่น การเพิ่มจำนวนสถานีเคเบิลใต้น้ำ ให้สามารถรองรับการรับส่งข้อมูลระหว่างประเทศได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ รัฐบาลควรพิจารณาช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน โดยอนุญาตให้ผู้ให้บริการเข้าถึงไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของภาคเอกชน ผ่านโครงข่ายของรัฐ โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม เพื่อให้ราคาค่าไฟฟ้าลดลงและแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง

รวมถึงการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการขยายระยะเวลา และเพิ่มระดับสิทธิพิเศษสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ

การส่งเสริมด้านบุคลากร และการพัฒนาทักษะด้านไอทีก็สำคัญเช่นกัน เพราะจะช่วยให้ไทยมีบุคลากรที่พร้อมรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ร่วมกับการปรับปรุงกระบวนการอนุมัติการลงทุนให้รวดเร็ว และโปร่งใสมากขึ้น ด้วยการนำระบบอนุมัติแบบรวมศูนย์มาใช้ ซึ่งจะลดความซับซ้อน และระยะเวลาที่ใช้ในการอนุมัติโครงการลงได้

ที่มา: Krungthai COMPASS

กรุงไทยบอกว่า ไทยได้รับความสนใจในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ น้อยกว่าบางประเทศในอาเซียน เพราะค่าไฟ...webp


Topics:
Krungthai
Data Center
Thailand
ASEAN

Continue reading...
 



กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see
Back
Top Bottom