อุปนายก TAPMA บอกว่าตลาด EV ไทยกำลังพุ่ง แต่ผู้ผลิตต้องเร่งปรับตัวก่อนจะตามไม่ทัน
Body
กระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามาเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์โลกแบบพริบตา ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ใช้ แต่กำลังกลายเป็นผู้ผลิต และฐานการส่งออกที่น่าจับตาในอาเซียน
ตามข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) ตลาด EV ของไทยโตขึ้นในระดับตัวเลขสองหลัก (double-digit growth) ภายใน 3 ปี เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถ EV ในปี 2022 ที่ 30,000 คัน พุ่งสู่ระดับ 70,000 คันในปี 2023 และแตะระดับ 100,000 คัน ในปี 2024
แม้ผู้บริโภคเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น และบริษัทข้ามชาติลงทุนในไทย โดยเฉพาะจากจีน แต่คำถามที่ตามมาคือ อุตสาหกรรม EV ไทยพร้อมแค่ไหน? และอะไรคือความท้าทายที่ยังมีอยู่?
Blognone มีโอกาสพูดคุยกับ "เสวก ประกิจฤทธานนท์" อุปนายกฝ่ายพัฒนาการส่งออก TAPMA ถึงภาพรวมตลาด EV ในไทย รวมถึงความท้าทาย และแนวโน้มในอนาคตของสนามแข่งนี้
ซัพพลายเชนที่แข็งแรง และกำลังการผลิตติด Top 10 โลก
เสวกบอกกับ Blognone ว่า ปัจจุบันไทยมีผู้ผลิต EV เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตแล้วกว่า 5-10 ราย มีกำลังการผลิตรวมเกือบแตะ 100,000 คันต่อปี ซึ่งเป็นสัญญาณชัดว่า ไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์แห่งใหม่ของอาเซียน
โดยในปี 2024 มูลค่าการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย อยู่ที่กว่า 1.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12% ของ GDP แถมยังเป็นฐานการผลิตของค่ายรถยนต์ระดับโลกกว่า 30 แบรนด์ และมีผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 1,600 ราย ครอบคลุมทั้ง Tier 1 และ Tier 2–3
ข้อได้เปรียบคือ ไทยมีแรงงานทักษะสูง ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว ทำให้สามารถเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค EV ที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัว
โดยอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ จะไม่ได้จำกัดแค่รถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบ BEV (Battery Electric Vehicle) เท่านั้น แต่ยังรวมถึง NEV หรือยานยนต์พลังงานทางเลือก (New Energy Vehicle) และในอนาคต อาจรวมถึง Fuel Cell หรือรถพลังงานไฮโดรเจนด้วย
ซึ่งเสวกย้ำด้วยว่า “ไทยจะใช้คอนเซ็ปต์ที่ว่า ไม่ว่าแพลตฟอร์มไหน เราก็สามารถผลิตและซัพพอร์ตได้ เพราะไทยสามารถปรับตัว และรองรับแพลตฟอร์มยานยนต์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไทยสู่ตลาดโลก”
ความท้าทายของตลาด EV มือสอง
แม้ไทยจะถือเป็นประเทศที่เปิดรับ EV มากที่สุดในอาเซียน และมีโครงสร้างพื้นฐานบางด้านที่เริ่มพัฒนา เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า และนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ แต่เสวกมองว่า ยังมีประเด็นที่ต้องเร่งพัฒนา
โดยเฉพาะมูลค่าของรถ EV หลังจากใช้งานไปแล้ว 5 ปี ยังเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคหลายคนกังวล เนื่องจากตลาดรถมือสอง EV ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่ชัดเจนว่าจะประเมินมูลค่าอย่างไร ทั้งในแง่ของราคาขายต่อ แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ และค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปที่ผู้บริโภคคุ้นเคย
รวมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่ยังต้องแก้ไข มีดังนี้:
ทั้งหมดนี้ เสวกบอกว่าต้องมีการสร้างระบบประเมินราคา และบริการหลังการขายที่ชัดเจน รวมทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย โดยเฉพาะ SMEs ต้องปรับตัวให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับ EV, ระบบแบตเตอรี่, ซอฟต์แวร์, ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ หรือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
แนวโน้มในอนาคต
เสวกคาดว่าภายในปี 2030 รถ EV จะมีสัดส่วนมากถึง 30% ของการผลิตรถยนต์ในไทย โดยได้นโยบาย Japan First จากภาครัฐ ที่จะช่วยส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงจากพาร์ทเนอร์ต่างชาติ
“อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ และเราต้องไม่ยึดติดกับคำว่า EV เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองให้ครอบคลุมถึง Future Mobility ทั้งหมด”
ที่มา: สัมภาษณ์พิเศษ เสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกฝ่ายพัฒนาการส่งออก สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
boompw Thu, 05/15/2025 - 22:41
Continue reading...
Body
กระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามาเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์โลกแบบพริบตา ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ใช้ แต่กำลังกลายเป็นผู้ผลิต และฐานการส่งออกที่น่าจับตาในอาเซียน
ตามข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) ตลาด EV ของไทยโตขึ้นในระดับตัวเลขสองหลัก (double-digit growth) ภายใน 3 ปี เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถ EV ในปี 2022 ที่ 30,000 คัน พุ่งสู่ระดับ 70,000 คันในปี 2023 และแตะระดับ 100,000 คัน ในปี 2024
แม้ผู้บริโภคเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น และบริษัทข้ามชาติลงทุนในไทย โดยเฉพาะจากจีน แต่คำถามที่ตามมาคือ อุตสาหกรรม EV ไทยพร้อมแค่ไหน? และอะไรคือความท้าทายที่ยังมีอยู่?
Blognone มีโอกาสพูดคุยกับ "เสวก ประกิจฤทธานนท์" อุปนายกฝ่ายพัฒนาการส่งออก TAPMA ถึงภาพรวมตลาด EV ในไทย รวมถึงความท้าทาย และแนวโน้มในอนาคตของสนามแข่งนี้
ซัพพลายเชนที่แข็งแรง และกำลังการผลิตติด Top 10 โลก
เสวกบอกกับ Blognone ว่า ปัจจุบันไทยมีผู้ผลิต EV เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตแล้วกว่า 5-10 ราย มีกำลังการผลิตรวมเกือบแตะ 100,000 คันต่อปี ซึ่งเป็นสัญญาณชัดว่า ไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์แห่งใหม่ของอาเซียน
โดยในปี 2024 มูลค่าการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย อยู่ที่กว่า 1.02 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12% ของ GDP แถมยังเป็นฐานการผลิตของค่ายรถยนต์ระดับโลกกว่า 30 แบรนด์ และมีผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 1,600 ราย ครอบคลุมทั้ง Tier 1 และ Tier 2–3
ข้อได้เปรียบคือ ไทยมีแรงงานทักษะสูง ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว ทำให้สามารถเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค EV ที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัว
โดยอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ จะไม่ได้จำกัดแค่รถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบ BEV (Battery Electric Vehicle) เท่านั้น แต่ยังรวมถึง NEV หรือยานยนต์พลังงานทางเลือก (New Energy Vehicle) และในอนาคต อาจรวมถึง Fuel Cell หรือรถพลังงานไฮโดรเจนด้วย
ซึ่งเสวกย้ำด้วยว่า “ไทยจะใช้คอนเซ็ปต์ที่ว่า ไม่ว่าแพลตฟอร์มไหน เราก็สามารถผลิตและซัพพอร์ตได้ เพราะไทยสามารถปรับตัว และรองรับแพลตฟอร์มยานยนต์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไทยสู่ตลาดโลก”
ความท้าทายของตลาด EV มือสอง
แม้ไทยจะถือเป็นประเทศที่เปิดรับ EV มากที่สุดในอาเซียน และมีโครงสร้างพื้นฐานบางด้านที่เริ่มพัฒนา เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า และนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ แต่เสวกมองว่า ยังมีประเด็นที่ต้องเร่งพัฒนา
โดยเฉพาะมูลค่าของรถ EV หลังจากใช้งานไปแล้ว 5 ปี ยังเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคหลายคนกังวล เนื่องจากตลาดรถมือสอง EV ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่ชัดเจนว่าจะประเมินมูลค่าอย่างไร ทั้งในแง่ของราคาขายต่อ แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ และค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปที่ผู้บริโภคคุ้นเคย
รวมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่ยังต้องแก้ไข มีดังนี้:
- ซัพพลายเชน – แม้จะเริ่มมีการผลิตในประเทศ แต่หลายชิ้นส่วนยังต้องพึ่งการนำเข้า โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เฉพาะทาง
- ปริมาณการผลิต – ปัจจุบัน volume อาจยังไม่สูงพอที่จะทำให้เกิดการลงทุนเชิงลึกในทุกขั้นตอนของการผลิต
- ระบบนิเวศรองรับ – เช่น การซ่อมบำรุง, การรีไซเคิลแบตเตอรี่, อะไหล่ และตลาดรถมือสอง
- ความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์ – การเมืองโลกและมาตรการทางภาษีในหลายประเทศ ส่งผลต่อแนวทางการส่งออกและกลยุทธ์ของผู้ผลิต
ทั้งหมดนี้ เสวกบอกว่าต้องมีการสร้างระบบประเมินราคา และบริการหลังการขายที่ชัดเจน รวมทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย โดยเฉพาะ SMEs ต้องปรับตัวให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับ EV, ระบบแบตเตอรี่, ซอฟต์แวร์, ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะ หรือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
แนวโน้มในอนาคต
เสวกคาดว่าภายในปี 2030 รถ EV จะมีสัดส่วนมากถึง 30% ของการผลิตรถยนต์ในไทย โดยได้นโยบาย Japan First จากภาครัฐ ที่จะช่วยส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงจากพาร์ทเนอร์ต่างชาติ
“อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ และเราต้องไม่ยึดติดกับคำว่า EV เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองให้ครอบคลุมถึง Future Mobility ทั้งหมด”
ที่มา: สัมภาษณ์พิเศษ เสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกฝ่ายพัฒนาการส่งออก สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
boompw Thu, 05/15/2025 - 22:41
Continue reading...