เปิดสถิติคนไทย โดนหลอกซื้อขายของออนไลน์ 47% แต่มูลค่าหลอกลงทุนเยอะที่สุด 55%
Body
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 กันยายน) ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดงานสัมมนาประจำปี BOT Symposium 2025 ซึ่งปีนี้มาในธีมหลักคือ "เท่าทันภัยการเงิน" (Towards Safer and More Inclusive Digital Finance) สะท้อนปัญหาเรื่องกลโกงออนไลน์ มิจฉาชีพ บัญชีม้า ที่เกิดขึ้นเยอะในช่วงหลัง
ในงานสัมมนามีการนำเสนอข้อมูลจาก อ. นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะผู้วิจัย ที่รวบรวมสถิติ "ภัยการเงิน" ของประเทศไทยจากการแจ้งความออนไลน์ ทำให้เราได้เห็นภาพใหญ่ว่าภัยการเงินในไทยมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ที่มา - Bank of Thailand, เอกสารนำเสนอต้นฉบับ
สัดส่วนภัยการเงิน จำนวนเคสเรื่องซื้อขายออนไลน์เยอะที่สุด 47% ตามด้วยหลอกลงทุน 24% หางาน 12% ส่วนเรื่อง App ดูดเงินมีเพียง 2% จากจำนวนเคสทั้งหมด 1 ล้านเคส ระหว่างปี 2565-2568
แต่ถ้าดูจากมูลค่าความเสียหาย (จากตัวเลขที่ผู้เสียหายระบุตอนแจ้งความ) กลุ่มหลอกลงทุนคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 55% จากมูลค่าทั้งหมด (เฉพาะที่แจ้งความ) 9.8 หมื่นล้านบาท
ถ้าแยกตามกลุ่มกลโกงทางการเงิน จะเห็นว่าแต่ละกลุ่มจะมีเป้าหมายที่แตกต่างกันไป เช่น กลุ่มแก๊ง call center มีเหยื่อเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ Baby Boom สัดส่วนสูงถึง 25% ในขณะที่กลโกงซื้อขายออนไลน์ เหยื่อเป็นผู้ซื้อที่อายุน้อย (Gen Y/Z) แต่มีรายได้สูงเกิน 3 หมื่นบาท
เหตุผลที่เหยื่อแต่ละกลุ่มโดนหลอกสำเร็จ อาจเป็นเพราะมิจฉาชีพมีแคมเปญ targeted marketing ตอบโจทย์ปมในใจของเหยื่อแต่ละกลุ่ม เช่น
ช่องทางที่ใช้โจมตีก็แตกต่างกัน ตัวอย่างคือ แก๊ง call center ใช้การโทรศัพท์ 82%, การหลอกลงทุนทำผ่าน SMS เป็นสัดส่วน 35% ส่วนกลุ่มหางาน หาคู่ ซื้อขายออนไลน์ มาทาง Facebook เป็นหลัก
พฤติกรรมย่อยอื่นๆ เฉพาะกลุ่มได้แก่ เหยื่อซื้อขายออนไลน์มักซื้อสินค้าผ่านร้านหรือช่องทางที่ไม่เป็นทางการ, เหยื่อหลอกลงทุน มีความเชื่อมโยงกับการแชร์ลิงก์พนันหรือดูฟุตบอลเถื่อน เป็นต้น
คณะผู้วิจัยยังสำรวจกลุ่มตัวอย่างว่า เคยโดนมิจฉาชีพกลุ่มใดเข้าถึงบ้าง รูปแบบที่คนไทยเจอเยอะที่สุดคือ แก๊ง call center โดนโทรหากัน 30% ของกลุ่มตัวอย่างประมาณ 7,000 ราย แต่เอาเข้าจริง กลับหลอกประสบความสำเร็จน้อยเพียง 9% ของผู้ที่โดนเข้าถึงได้
ในทางกลับกัน กลุ่มตัวอย่างเจอการหลอกลวงหางานเพียง 2% แต่อัตราหลอกสำเร็จสูงถึง 42% เช่นเดียวกับ กลโกงซื้อของออนไลน์ มีคนเจอเพียง 21% แต่อัตราโดนหลอกสำเร็จคือ 79%
หลังโดนหลอกแล้ว เหยื่อมีพฤติกรรมอย่างไร? พฤติกรรมที่ทำเยอะที่สุดคือ ติดต่อมิจฉาชีพ 42%, ไม่ทำอะไรเลย 28% และมีแจ้งตำรวจเพียงแค่ 10% เท่านั้น
ถ้าดูข้อมูลจากเหยื่อกลุ่ม 10% ที่ตัดสินใจไปแจ้งความ แยกเป็นกลุ่มโดนแก๊ง call center หลอก 36% ในขณะที่มีคนโดนหลอกซื้อขายออนไลน์เพียงแค่ 5%
ข้อเสนอของทีมวิจัยคือ การหลอกลวงออนไลน์ทำเป็นขบวนการ (organized crime) อย่างเป็นระบบ ทางออกต้องใช้วิธีหลายอย่างร่วมกัน เช่น ให้ความรู้แก่ผู้ใช้งาน เพิ่มพฤติกรรมการป้องกันตัว, ฝั่งแพลตฟอร์มต้องปิด content เสี่ยง เช่น ลิงก์เถื่อน, ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องต้องประสานความร่วมมือกันให้มากขึ้น
mk Sun, 21/09/2025 - 16:22
Continue reading...
Body
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 กันยายน) ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดงานสัมมนาประจำปี BOT Symposium 2025 ซึ่งปีนี้มาในธีมหลักคือ "เท่าทันภัยการเงิน" (Towards Safer and More Inclusive Digital Finance) สะท้อนปัญหาเรื่องกลโกงออนไลน์ มิจฉาชีพ บัญชีม้า ที่เกิดขึ้นเยอะในช่วงหลัง
ในงานสัมมนามีการนำเสนอข้อมูลจาก อ. นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะผู้วิจัย ที่รวบรวมสถิติ "ภัยการเงิน" ของประเทศไทยจากการแจ้งความออนไลน์ ทำให้เราได้เห็นภาพใหญ่ว่าภัยการเงินในไทยมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ที่มา - Bank of Thailand, เอกสารนำเสนอต้นฉบับ
สัดส่วนภัยการเงิน จำนวนเคสเรื่องซื้อขายออนไลน์เยอะที่สุด 47% ตามด้วยหลอกลงทุน 24% หางาน 12% ส่วนเรื่อง App ดูดเงินมีเพียง 2% จากจำนวนเคสทั้งหมด 1 ล้านเคส ระหว่างปี 2565-2568
แต่ถ้าดูจากมูลค่าความเสียหาย (จากตัวเลขที่ผู้เสียหายระบุตอนแจ้งความ) กลุ่มหลอกลงทุนคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 55% จากมูลค่าทั้งหมด (เฉพาะที่แจ้งความ) 9.8 หมื่นล้านบาท
ถ้าแยกตามกลุ่มกลโกงทางการเงิน จะเห็นว่าแต่ละกลุ่มจะมีเป้าหมายที่แตกต่างกันไป เช่น กลุ่มแก๊ง call center มีเหยื่อเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ Baby Boom สัดส่วนสูงถึง 25% ในขณะที่กลโกงซื้อขายออนไลน์ เหยื่อเป็นผู้ซื้อที่อายุน้อย (Gen Y/Z) แต่มีรายได้สูงเกิน 3 หมื่นบาท
เหตุผลที่เหยื่อแต่ละกลุ่มโดนหลอกสำเร็จ อาจเป็นเพราะมิจฉาชีพมีแคมเปญ targeted marketing ตอบโจทย์ปมในใจของเหยื่อแต่ละกลุ่ม เช่น
- มนุษย์เงินเดือน อายุ 25-40 ปี มักโดนหลอกซื้อของออนไลน์ (ช็อปปิ้งแก้เครียด) หรือหลอกลงทุน (อิสรทางการเงิน)
- ฟรีแลนซ์หางานเสริม อายุ 15-50 ปี มักโดนหลอกเรื่องหางานออนไลน์ เพราะมีอาชีพไม่มั่นคงอยู่แล้ว และมีพฤติกรรมหางานออนไลน์อยู่เดิม
- ผู้สูงวัย 60-86 ปี มักโดนหลอกเรื่องหาคู่ (เหงา) หรือแก๊ง call center (เชื่อคนง่าย)
- กลุ่มคน high profile วัย 35-65 ปี โดนหลอกลงทุน เพราะมีสถานะทางสังคมสูง มั่นใจตัวเองสูง
- กลุ่มคนรายได้น้อย มักโดนหลอกเรื่องหางาน หรือหลอกลงทุน (เพราะรายได้ต่ำ) หรืออาจเข้าสู่วงการพนัน บัญชีม้าได้ง่าย
ช่องทางที่ใช้โจมตีก็แตกต่างกัน ตัวอย่างคือ แก๊ง call center ใช้การโทรศัพท์ 82%, การหลอกลงทุนทำผ่าน SMS เป็นสัดส่วน 35% ส่วนกลุ่มหางาน หาคู่ ซื้อขายออนไลน์ มาทาง Facebook เป็นหลัก
พฤติกรรมย่อยอื่นๆ เฉพาะกลุ่มได้แก่ เหยื่อซื้อขายออนไลน์มักซื้อสินค้าผ่านร้านหรือช่องทางที่ไม่เป็นทางการ, เหยื่อหลอกลงทุน มีความเชื่อมโยงกับการแชร์ลิงก์พนันหรือดูฟุตบอลเถื่อน เป็นต้น
คณะผู้วิจัยยังสำรวจกลุ่มตัวอย่างว่า เคยโดนมิจฉาชีพกลุ่มใดเข้าถึงบ้าง รูปแบบที่คนไทยเจอเยอะที่สุดคือ แก๊ง call center โดนโทรหากัน 30% ของกลุ่มตัวอย่างประมาณ 7,000 ราย แต่เอาเข้าจริง กลับหลอกประสบความสำเร็จน้อยเพียง 9% ของผู้ที่โดนเข้าถึงได้
ในทางกลับกัน กลุ่มตัวอย่างเจอการหลอกลวงหางานเพียง 2% แต่อัตราหลอกสำเร็จสูงถึง 42% เช่นเดียวกับ กลโกงซื้อของออนไลน์ มีคนเจอเพียง 21% แต่อัตราโดนหลอกสำเร็จคือ 79%
หลังโดนหลอกแล้ว เหยื่อมีพฤติกรรมอย่างไร? พฤติกรรมที่ทำเยอะที่สุดคือ ติดต่อมิจฉาชีพ 42%, ไม่ทำอะไรเลย 28% และมีแจ้งตำรวจเพียงแค่ 10% เท่านั้น
ถ้าดูข้อมูลจากเหยื่อกลุ่ม 10% ที่ตัดสินใจไปแจ้งความ แยกเป็นกลุ่มโดนแก๊ง call center หลอก 36% ในขณะที่มีคนโดนหลอกซื้อขายออนไลน์เพียงแค่ 5%
ข้อเสนอของทีมวิจัยคือ การหลอกลวงออนไลน์ทำเป็นขบวนการ (organized crime) อย่างเป็นระบบ ทางออกต้องใช้วิธีหลายอย่างร่วมกัน เช่น ให้ความรู้แก่ผู้ใช้งาน เพิ่มพฤติกรรมการป้องกันตัว, ฝั่งแพลตฟอร์มต้องปิด content เสี่ยง เช่น ลิงก์เถื่อน, ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องต้องประสานความร่วมมือกันให้มากขึ้น
mk Sun, 21/09/2025 - 16:22
Continue reading...